การตลาดออนไลน์ (Online Marketing)

  ตอนนี้ TikTok กำลังเข้ายึดครองโซเชียลมีเดียเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะผู้คนให้ความสนใจกันอย่างมาก ทุกเพศ ทุกวัย อีกทั้งยังเป็นเเอปฯ วิดีโอสั้น ที่ทำลายสถิติการดาวน์โหลด แชง Facebook ไปได้เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าช่วงที่เปิดตัวแรกๆ TikTok เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มคลายเหงาของคนที่ถูกกักตัวเพราะพิษโควิด แต่ในปัจจุบัน TikTok ได้มีการพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  โดย Sdensor Tower ระบุว่า ในปี 2018 TikTok มีผู้ใช้เพียง 55 ล้านคนต่อเดือน แต่ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ มีการโหลดเกือบ 383 ล้านครั้ง  ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในฐานะแอปโซเชียลมีเดียที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก และจากยอดดาวน์โหลดแอปฯ กว่า 3 พันล้านครั้งทั่วโลก ทำให้นักการตลาดต้องหันกลับมามอง TikTok อีกครั้ง จากกราฟจะเห็นว่า ปีนี้มีการพูดถึงเกี่ยวกับ TikTok สูงที่สุดค่ะ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 ก่อนโลกจะถูกล็อคก็มีการพูดถึงแอปฯ อยู่ที่ 11.2 ล้านครั้ง และภาย 2 เดือนเท่านั้น การพูดถึงบนออนไลน์ขึ้นมาเป็น 16.5 ล้านครั้ง จำนวนนี้เพิ่มขึ้นถึง 150% เลยค่ะ  จากสถิติตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021 พบว่าผู้ใช้ TikTok เป็นกลุ่ม Gen Z มากที่สุดค่ะ คิดเป็น 25% ของผู้ใช้ที่ใ

  คุณต้องการเพิ่มยอดขายออนไลน์ สร้างการรับรู้แบรนด์ และโปรโมทสินค้าของตัวเองหรือไม่? หนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ คือ Facebook ซึ่งสามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างธุรกิจและผู้บริโภคเข้าด้วยกันได้ โดยการปรับปรุงการสื่อสาร และทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับแบรนด์สินค้า ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นนักวาดภาพอิสระ ร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จ หรือแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก Facebook ก็ควรเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอันดับต้นๆ ที่ไม่ควรมองข้าม   วิธีโปรโมทเพจ   การแนะนำเพจให้เป็นที่รู้จัก การเพิ่มจำนวนคนถูกใจ และการใส่ลิงก์เชื่อมไปยังเพจหรือเว็บไซต์อื่นๆ ล้วนมีส่วนสนับสนุนให้เพจเติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือจำนวนคนกดถูกใจเนื้อหาที่คุณโพสต์บนเพจ ต่อไปนี้จะเป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดบน Facebook ที่จะช่วยให้สินค้าและบริการของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น   1)  การมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณปรับแต่งโพสต์บน Facebook ให้เหมาะกับความสนใจได้ การสละเวลาเพื่อระบุลักษณะกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณค้นพบพวกเขามากขึ้น 2) สร้าง

ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของ COVID-19 ราคาอาหารโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากใครสังเกตเวลาไปซื้อของที่ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ว่าจะผัก ผลไม้ หรือสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น จะรู้เลยว่าราคาสินค้าบางอย่างแพงขึ้น และมีข้อมูลยืนยันจาก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่ระบุว่า ราคาอาหารทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ  โดยดัชนีราคาอาหารของ FAO ที่ติดตามมาตลอดทั้งปี (ถึงเดือนก.ค. 2021) ราคาอาหารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30% เทียบกับเดือน ก.ค.ของปี 2020 ส่วนราคาอาหารเพิ่มขึ้นติดกัน 3 เดือนตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เฉลี่ยประมาณ 3% ทั้งนี้ ในแต่ละประเทศจะเห็นว่าสินค้าหลักๆ มีราคาแพงขึ้น อย่างในสหรัฐอเมริกาที่ราคาข้าวสาลี และพืชผลทางการค้าอื่นๆ พุ่งขึ้น 5% ในเดือน ต.ค. ขณะที่ FAO ระบุว่า ราคาข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง และน้ำมันดอกทานตะวันก็เพิ่มราคาสูงขึ้นเช่นกัน หรืออย่างในไทยราคาผักหลายๆ ชนิดมีราคาแพงขึ้น เช่น ผักชี, หอมแดง ฯลฯ เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรคล้ายๆ กับไทยก็มีราคาแพงขึ้นเหมือนกัน ทาง FAO

ธุรกิจ Food delivery เริ่มจากแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นเพียง marketplace โดยอาศัยบริการจัดส่งจากบุคคลที่ 3 มาสู่การเพิ่มบริการจัดส่งของตนเอง ธุรกิจ Food delivery ในยุค 2.0 จากการเพิ่มบริการจัดส่งอาหารภายใต้เครือข่ายขนส่งของแพลตฟอร์มเอง และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ธุรกิจ Food delivery ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มสามารถขยายฐานพาร์ทเนอร์ร้านอาหารไปสู่กลุ่มร้านอาหารที่ไม่สามารถให้บริการจัดส่งได้ ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารในแพลตฟอร์มมีทั้งจำนวนและความหลากหลายมากยิ่งขึ้น สามารถดึงดูดให้มีจำนวนผู้เข้าใช้บริการมากขึ้นตามมานั่นเองค่ะ      จนกระทั่งปัจจุบันเข้าสู่ ธุรกิจ Food delivery ในยุค 3.0 แพลตฟอร์มได้ต่อยอดธุรกิจด้วยการเพิ่มการให้บริการในด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทั้งในห่วงโซ่อุปทานอาหาร (Food supply chain) เช่น การจัดตั้งร้านอาหารที่ให้บริการเฉพาะซื้อกลับบ้านในรูปแบบครัวร่วม (cloud kitchen) การทำแบรนด์ร้านอาหารของตนเอง การให้บริการจัดส่งวัตถุดิบ เป็นต้น และการให้บริการด้านอื่น ๆ เช่น การสั่งซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ต การขนส่งสินค้า การเงิน การให้บริการประช

  หลังจากที่ CEO มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้ปรับเปลี่ยนชื่อองค์กรจาก Facebook เป็น Meta เพื่อสอดรับกับ vision ใหม่เกี่ยวกับโลกของ Metaverse เป็นที่เรียบร้อบแล้ว เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา  กลับได้รับ feedback จากหลายๆ มุมมอง ทั้งชื่นชมในความกล้าคิด กล้าทำ และกล้าลอง จนไปถึงแสดงความกังวลในหลายกรณี เช่น เรื่องความปลอดภัย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีประเด็นเกี่ยวกับกรณีข้อมูลรั่วไหลมาก่อน      และข้อมูลล่าสุดจาก เครื่องมือ Harris Brand Platform เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตามแบรนด์จาก The Harris Poll เปิดเผยว่า ได้มุ่งติดตามเรื่องความเชื่อมั่นทางอารมณ์ระหว่างผู้บริโภคโดยเชื่อมโยงกับแบรนด์ พบว่า คะแนนความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม Facebook เริ่มลดลงจาก 16% (ช่วงกลางเดือน ก.ย.) อีกทั้ง The Wall Street Journal ยังได้อ้างอิงไปถึง Instagram อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเรียกแพลตฟอร์มนี้ว่า ‘toxic’ (เป็นพิษ) ต่อผู้ใช้ ซึ่งเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ฉุดคะแนนความเชื่อมั่นของบริษัท Meta ลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่ที่ประกาศจุดยืนใหม่  โดยผลสรุปตามรูปภาพด้านล่างนี้จะเห็นได้ว่า คะแนนความน่าเชื่อถือของแพลตฟ

  Facebook เตรียมปรับตัว รับรู้ถึงปัญหาในเรื่องที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยเล่น Facebook แต่หันไปหาแพลตฟอร์มอื่นๆ แทนมากกว่า อย่างเช่น TikTok, IG  ที่กลุ่มผู้ใช้งานรุ่นเด็กยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ต้องยอมรับว่าพวกเขากำลังสูญเสียความสัมพันธ์อันดีงามกับเด็กเจนใหม่ๆ ไปอย่างมาก และในขณะเดียวกันกลุ่มของคนรุ่นเก่าหรือคนที่เริ่มมีอายุกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สังคม Social Media กันอย่างล้นหลาม ทำให้เด็กๆ กลับมองว่าไม่อยากอยู่กับรุ่นเก่าแล้ว แถม Facebook เองก็ไม่ได้มีฟีเจอร์อะไรใหม่เพิ่มมากด้วย จึงทำให้แบรนด์ Facebook ต้องเตรียมปรับตัวอย่างมาก ทั้งนี้ก็เพื่อเอาใจเด็กรุ่นใหม่มากขึ้นนั่นเองค่ะ  อย่างไรก็ตาม Facebook ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดออกมาเป็นข้อๆ นะคะว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์อะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ดีสำหรับตอนนี้ก็คือการพัฒนา Instagram ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Stories หรือ Reels ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่เขาตัดสินใจทำ เพราะปัจจุบัน Reels  ถือว่าเป็นตัวเรียก Engagement จาก Users ได้เยอะมากทีเดียว เขาก็เลยมีแพลนจะวาง Reels ให้กลายเป็นศูนย์กลางหลักของ Instagram และ Facebook ในอนาคตด้วยค่ะ  มี 3 ส่วน สำหรับการเตรีย

       คำว่าอัตลักษณ์และเอกลักษณ์มีความหมายที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งก็ทำให้หลายคนสับสนได้เลยว่า2 คำนี้มีความหมายแตกต่างกันอย่างไร และจะสังเกตได้อย่างไรว่าตนมีอัตลกัษณ์เป็นเช่นไร       อัตลักษณ์  ไม่มีบันทึกไว้ในพจนานุกรมแต่อย่างใด แต่ก็มีตำราหลายเล่มได้ให้นิยามหรือความหมายคำว่าอัตลักษณ์ คือ คุณลักษณะเฉพาะตัว ที่บ่งบอกหรือมีความชี้ชัดของตัวบุคล สังคม ชุมชนหรือประเทศนั้น ๆ เช่น เชื้อชาติ ภาษา ศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ไม่มีทั่วไปและเป็นสากลกับสังคม อื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อัตลักษณ์จะใช้ในวงแคบ ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้      มีการจัดแบ่งประเภทของอัตลักษณ์เป็น 2 ระดับคือระดับอัตลักษณ์ส่วนบุคคล (personal identity) และอัตลักษณ์ทางสังคม (social identity) ที่จะใช้แสดงตน เช่น การที่สังคมกำหนดบทบาทหน้าที่ และระบบคุณค่าที่ติดตัวมา ความเป็นพ่อ ความเป็นเพื่อนความเป็นสามีภรรยา เข็มโรงเรียน  ภาษาหรือบางที่อาจเห็นได้จากเสื้อผ้าที่ใส่       เอกลักษณ์  ตามราชบัณฑิตยสถานนั้น หมายความว่าลักษณะที่เหมือนกันหรือร่วมกัน โดยทั่วไปแล้วเอกลักษณ์มักจะถูกใช้งานมากกว่าคำว่าอัตลักษณ์ ซึ่งมีความเข้าใจง่าย และเอกลักษณ์ไม่สามา

         เมื่อเราพูดถึงโซเชียล อาจจะคิดได้หลายแบบแตกต่างกัน เช่น การจัดทำเว็บไซต์บนโซเชียล การทำธุรกิจออนไลน์บนโซเชียล เกิดการติดต่อสื่อสารผ่านเครือค่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ให้ความสะดวก รวดเร็ว ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางติดต่อสื่อสารกัน แต่การจะทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆก็สารมารถทำได้ จึงต้องมีการอาศัยหลักการทางเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วย หลายๆผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจออนไลน์ อยากให้ธุรกิจของตนเองอยู่ติดอันดับต้นๆของการ search engine จึงต้องมีการว่าจ้างให้นักพัฒนา SEO เข้ามาเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ฉะนั้นผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์จึงจำเป็นต้องรู้หลักการทำ SEO เช่นเดียวกันกับนักพัฒนา SEO สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้ 1.จุดเด่นของแบรนด์ของธุรกิจ จำเป็นอย่างมากที่จะต้องสร้างจุดเด่น เพื่อง่ายต่อความจดจำว่าแบรนด์เราเจาะจงกลุ่มคนประเภทไหน แต่ละช่องทางมีคนมากสนใจมากน้อยเพียงใด 2.ช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายใช้บริการมีช่องทางไหนบ้าง ซึ่งแต่ละช่องทางควรจะนำเสนอขายสินค้าในเวลาใดจึงจะเหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมาย 3.สิ่งที่น่าติดตามเป

สำหรับสาย Instagram ชอบอัพ Story รัวๆ ไม่ควรพลาด! ล่าสุดทาง Instagram ได้ออกลูกเล่นใหม่อย่าง  ‘Add Yours’  ออกมาหมาดๆ โดยเฉพาะการเล่น IG Story ต้องถูกใจกันอย่างแน่นอน ใครยังไม่ลอง ไม่รู้จัก มาทำความรู้จักไปพร้อมกับอีฟกันเลยค่า  Instagram ก็คือการเพิ่มรูปหรือการตอบหัวข้อด้วยรูปภาพ,วิดีโอของตัวเองนั่นเองค่ะ เช่นหากเป็น Add Yours เรื่อง life before covid นั้นก็หมายความว่าให้คุณเพิ่มรูปภาพหรือวิดีโอส่วนตัวของคุณ ที่เกี่ยวกับชีวิตของคุณก่อนเกิดโควิดเป็นอย่างไรบ้าง ? หรือถ้าหาก Add Yours เรื่องสัตว์เลี้ยง ก็แปลว่าให้เพิ่มรูปหรือคลิปรูปสัตว์เลี้ยงของคุณเข้าไปนั่นเองค่ะ ข้อดีของการเล่นลูกเล่นนี้ ก็คือ สามารถสร้าง Engagement ใน Story ให้กับคุณได้ และคุณยังสามารถเข้าไปดู Story ของเพื่อนๆ ทั่วโลกที่กำลังเล่นหัวข้อเดียวกับคุณได้อีกด้วย ดังนั้นยอดการเห็นหรือยอด View ของ Story นี้ก็อาจจะได้รับการมองเห็นมากขึ้นจากผู้คนที่อาจจะไม่ได้ติดตามเราอยู่ก็ได้ค่ะ  ใครที่มีแบรนด์หรือธุรกิจของตัวเอง ถือว่าเป็นข้อดีและประโยชน์มากๆ เพราะเมื่อใดที่แบรนด์ได้สร้าง  ‘Add Yours’ เฉพาะของแบรนด์ขึ้นมา อย่างเช่น "1 ร

เวลาทำงานที่ต้องอิงข้อมูลเทรนด์ต่างๆ เราก็ต้องเข้าออกแพลตฟอร์มนั้นที โดยคนที่ชอบ หาไอเดียเขียน Content ส่อง Keywords ฮิตๆ มาปรับใช้งานเพื่อเขียน Copy อยู่ตลอด วันนี้เราจะมาแชร์ฟีเจอร์ใหม่ของ Mandala Analytics ที่ชื่อว่า Cosmo Trends ให้ฟังกัน บอกเลยว่านอกจากจะเหมาะกับกลุ่มสายงานเรียลไทม์ คิดคอนเทนต์อิงเทรนด์แล้ว ยังเหมาะสำหรับการใช้งานหา Keywords ในการ Monitor กลุ่มคำต่างๆ เพื่อทำการตลาดกับ Social Data ด้วยค่ะ Cosmos trends ฟีเจอร์ใหม่จาก Mandala Analytics ใช้งานได้ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมทั้ง Google trends ที่ดูย้อนหลังได้ถึง 7 – 30 วันที่ผ่านมา นอกจากนั้นได้รวบรวมนำเอา Twitter Trends แบบ Update real time ด้วย #hashtag ยอดนิยมมาจัดอันดับ ให้ได้ดูว่า กระแสที่เกิดขึ้นภาพรวมของคนสนใจอะไรตอนนี้ ในความสนใจของคนส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ? และหากนักการตลาดท่านใดได้ทำการ Subscribe เครื่องมือของ Mandala เอาไว้อยู่แล้ว อยากลองใช้ฟีเจอร์ Cosmo Trends นี้ดูบ้าง ก็ง่ายมากค่ะ แค่เข้าไปนี้ Tab Navigation ด้านซ้ายมือ > ก็จะเห็นเมนู Cosmo Trends อยู่อันดับแรกรอคุณเข้าไปเล่น ไปใช้งาน หาคำ หาคีย์เว

ถ้าพูดถึงการตลาดที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่ง หลายคนย่อมนึกถึงการตลาดแบบปากต่อปาก (Word of Mouth Marketing)  ดังนั้นหลายๆ แบรนด์จึงเลือกที่จะใช้การตลาดแบบใช้คนที่มีชื่อเสียงอย่าง Influencer Marketing  เพราะมันคือการเข้าถึงฐานแฟนคลับของกลุ่มคนดังเหล่านั้นให้หันมาสนใจแบรนด์ของเราบ้าง แต่ถึงแม้ว่าการทำ Influencer Marketing จะกลายเป็นพื้นฐานการตลาดง่ายๆ ในวันนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังมีหลายแบรนด์ไม่กล้าที่จะลงทุนกับการใช้อินฟลูในการโปรโมตสินค้าเลย เพียงเพราะเข้าใจผิด และยิ่งด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้มีคนผันตัวมาเป็นพ่อค้าแม่ค้ากันเป็นจำนวนมาก และยิ่งทำให้การเกิดอินฟลู มีมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจะมีเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้หลายคนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Influencer Marketing 1. จ้างอินฟลูเสียเงินแพง การใช้งานอินฟลูก็เหมือนกับเราขอยืมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอินฟลู-แฟนคลับของเค้าให้มาสนใจแบรนด์เรา แล้วกว่าที่อินฟลูเหล่านั้นจะมีแฟนคลับมาติดตามได้ พวกเค้าก็ลงทุนไปเยอะในการสร้าง Character ต่างๆ อย่างไรก็ตามเรทของแต่ละ Tier ของเหล่าอินฟลูก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์แล้วค่ะว่า อยากจะจ้าง