การตลาดออนไลน์ (Online Marketing)

เมื่อรู้ถึงความหมาย และประโยชน์จากการทำ Customer Experience กันแล้วจากบทความก่อนหน้านี้อของเรา สำหรับวันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ภายใต้พื้นฐานการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้ากันค่ะ  1. รู้ถึงความคาดหวังที่ลูกค้าต้องการ ในการทำธุรกิจทุกประเภท ย่อมรู้วัตถุประสงค์ของตนเองกันอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการก็ควรต้องรู้ถึงความคาดหวังที่ลูกค้าอยากได้ด้วย เพื่อให้สัมผัสได้ถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างเต็มขีดสูงสุด เมื่อลูกค้าได้รับสิ่งเหล่านี้แล้วย่อมทำให้เกิดความพึงพอใจตามมาได้อย่างง่ายดาย 2. การซื้อ-ขายครั้งแรกเกิดขึ้นได้เสมอ อย่าคิดว่าการซื้อ-ขายกับลูกค้ามาหลายครั้งแล้วจะใช้กิริยาหรือแสดงท่าทางอย่างไรก็ได้ เพราะลูกค้ามีสิทธิ์เปลี่ยนความต้องการของตนเองได้เสมอ ดังนั้นให้ใส่ใจการซื้อขายกับลูกค้าทุกคนไม่ว่าคนไหนก็ตาม คือ ลูกค้าคนนี้ยังคงเป็นการซื้อขายครั้งแรกเสมอ เคยทำแบบไหนก็ต้องทำไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น 3. อย่าขึงขังมากจนเกินไป อย่างไรก็ตามต้องค่อยๆ สัมผัสกับนิสัยของลูกค้า และรู้ว่าเขาชอบแบบไหน หากลูกค้าที่ชอบความเป็นกันเอง สบายๆ ก็อย่าใ

ยุค Social media มีเรื่องแปลกใหม่อยู่เสมอ ตั้งแต่เน็ตไอดอล Youtuber รวมถึง Influencer ที่กลายเป็นอาชีพ Hothit เพราะรายได้ดีไปแล้ว influencers ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย อย่างที่คุณ Mudit Swarup, Head of INCA, Gro upM Thailand ที่มาแชร์มุมมองในงานสัมมนา GroupM Focal 2021 เกี่ยวกับอนาคตของ Influencer Marketing และช่วยอัพเดทความเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับ influencers คุณ Mudit พูดว่า ความน่าสนใจของตลาด influencers เติบโตขึ้นมากตั้งแต่ปี 2015 โดยทั่วโลกเติบโตขึ้นถึง 700% ส่วนประเทศไทยโตขึ้นประมาณ 300% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ influencers เสมือนเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือใหม่ของธุรกิจในยุคนั้น แต่มันกลับได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงยุคนี้ปี 2021 ที่ความร้อนแรงของการตลาดออนไลน์ที่ใช้ influencers ไม่แผ่วลงสักนิด สำหรับวันนี้เราจะมาพูดในหัวข้อ 'กลยุทธ์การตลาดแบบ Influencers ยังจำเป็นต่อยุคอนาคตอยู่หรือไม่' คุณ Mudit ได้กล่าวว่า influencers จะยังอยู่กับวิถีการตลาดต่อไป และมีบทบาทมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนถึง 2022 เพราะดูจากความคิดเห็นจากนักการตลาดส่วนใหญ่

คนที่ทำงานด้านการเขียน Content มีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นชื่อตำแหน่ง UX Writing, UX Copywriting, Content Strategy หรือ Content Design หลายๆ คนก็คงยังไม่แน่ใจถึงความแตกต่างระหว่างสองตำแหน่งนี้ วันนี้จึงอยากลองมาวิเคราะห์ถึงความแตกต่างคร่าวๆ ของ 2 อาชีพนี้กันค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 อาชีพนี้มีความเกี่ยวกับงานเขียนโดยตรง แต่มีความแตกต่างอยู่บางมุมเท่านั้นค่ะ UX Writing คืออะไร ? UX Writing คือ การเขียนเพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ผู้ที่จะเขียนข้อความบน Product เพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User experience) มีหน้าที่เขียนเพื่อให้ผู้ใช้งาน (Users) ทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจนเวลาใช้งาน Digital products (เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน ฯลฯ) ดังนั้นการเขียนจะต้องชัดเจน เข้าใจง่าย กระชับ รัดกุมและใช้งานได้จริง จุดประสงค์ของการทำงานคือเพื่อช่วยเหลือและนำทาง User ให้ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จได้ผ่านทาง User Interface Copywriting คือ การเขียนคำโฆษณาที่ใช้ในการสื่อสาร เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งโดยการปกติการเขียนก็เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำสื่อแทบทุกประเภท ทั้งบนเว็บไซต์ ช่องทาง Social Media ต่างๆ รวมไปถึง Email, ใ

เวลาทำงานที่ต้องอิงข้อมูลเทรนด์ต่างๆ เราก็ต้องเข้าออกแพลตฟอร์มนั้นที โดยคนที่ชอบ หาไอเดียเขียน Content ส่อง Keywords ฮิตๆ มาปรับใช้งานเพื่อเขียน Copy อยู่ตลอด วันนี้เราจะมาแชร์ฟีเจอร์ใหม่ของ Mandala Analytics ที่ชื่อว่า Cosmo Trends ให้ฟังกัน บอกเลยว่านอกจากจะเหมาะกับกลุ่มสายงานเรียลไทม์ คิดคอนเทนต์อิงเทรนด์แล้ว ยังเหมาะสำหรับการใช้งานหา Keywords ในการ Monitor กลุ่มคำต่างๆ เพื่อทำการตลาดกับ Social Data ด้วยค่ะ Cosmos trends ฟีเจอร์ใหม่จาก Mandala Analytics ใช้งานได้ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมทั้ง Google trends ที่ดูย้อนหลังได้ถึง 7 – 30 วันที่ผ่านมา นอกจากนั้นได้รวบรวมนำเอา Twitter Trends แบบ Update real time ด้วย #hashtag ยอดนิยมมาจัดอันดับ ให้ได้ดูว่า กระแสที่เกิดขึ้นภาพรวมของคนสนใจอะไรตอนนี้ ในความสนใจของคนส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ? และหากนักการตลาดท่านใดได้ทำการ Subscribe เครื่องมือของ Mandala เอาไว้อยู่แล้ว อยากลองใช้ฟีเจอร์ Cosmo Trends นี้ดูบ้าง ก็ง่ายมากค่ะ แค่เข้าไปนี้ Tab Navigation ด้านซ้ายมือ > ก็จะเห็นเมนู Cosmo Trends อยู่อันดับแรกรอคุณเข้าไปเล่น ไปใช้งาน หาคำ หาคีย์เว

เนื่องจากในช่วงสองปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้ที่เข้าสู่โลกออน์ไลน์ครั้งแรกเป็นจำนวนมากศาล มากเทียบเท่ากับประชากรทั้งประเทศอังกฤษเลยทีเดียว และในขณะเดียวกันคนเหล่านั้นก็ไม่ได้แค่ใช้งานออนไลน์เพื่อความสนุกเท่านั้น แต่ยังใช้เงินบนออนไลน์เป็นจำนวนมากอีกด้วย และนี่ก็จะเป็นสิ่งที่นำพาไปสู่อคอนาคต 2022 นั่นเอง วันนี้เราเลยจะมาสรุปกับ 6 แนวทางกลยุทธ์การตลาด / ธุรกิจ ที่อยากจะอยู่รอด และได้ไปต่อในปีถัดๆ ไป มีชื่อว่า 6R New Normal Marketing Strategy R ที่ 1 : Rewrite a Digital-First Strategy ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดและล็อกดาวน์มาได้ 2 ปี วันนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่กลายเป็น Digital Consumer ไปแล้ว เริ่มคุนเคยกับการจับจ่ายใช้สอยบนช่องทางออนไลน์กันอย่างชำนาญด้วยสมาร์ทโฟนในมือของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของใช้ประจำวันทั่วไปผ่านมือถือ การสั่งอาหารผ่านแอป มาวันนี้ไปจนถึงการซื้อของสดทางออนไลน์เรียบร้อยแล้ว และออนไลน์นี่เองที่เป็นช่องทางหลักของคนส่วนใหญ่ที่จะได้รู้จักสินค้า หรือบริการใหม่ๆ มากขึ้น Digital Marketing Strategy ไม่ใช่แค่การทำแคมเปญการตลาดเพียงอย่างเดียว หรือการทำการตลาดผ่านบางแพลตฟอร์มหรือบางช่องทางที

จากรายงาน Digital Consumer Trends & Insight 2020 ของ Facebook Report ในเรื่องของ Customer Experience Insight หรือประสบการณ์ของลูกค้า Customer Experience (CX) คือความประทับใจของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจตลอดทุกโอกาส และช่องทางการติดต่อของลูกค้า การสร้างประสบการณ์ที่ดีทำให้เกิดการสร้างแบรนด์ที่ดี และจะส่งผลกระทบอันดีต่อยอดขายของบริษัทด้วยนั่นเองค่ะ สำหรับวันนี้เราจะมาเปิด Customer Experience Insight กันค่ะ ว่าปัจจัยใดบ้างที่จะส่งผลต่อลูกค้าในโซเชียลมีเดียต่างๆ ประทับใจ และไม่ประทับใจ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 5 เหตุผลหลักที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจอยากแนะนำต่อ 1. Price 2. Availability 3. Product range 4. Product quality 5. Information เมื่อเจาะลึกลงไปดูในรายละเอียดว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ผู้บริโภคพอใจ และไม่พอใจที่จะไปต่อกับแบรนด์ ก็พบว่าปัจจัยหลักอย่างหนึ่งคือเรื่องของการขนส่ง ไม่ว่าจะล่าช้าหรือส่งมาแล้วสินค้าเสียหาย ไปจนถึงเงื่อนไขการคืนสินค้าทียุ่งยาก เหมือนที่เราเริ่มเห็นบ้างห้างออกมาประกาศว่าถ้าซื้อออนไลน์แล้วไม่พอใจสามารถเดินเอาไปขอคืนหรือเปลี่ยนที่หน้าสาขาได้เลย ซึ่งถ้าสามารถแก้สองเรื่อ

หากคุณเป็นอีกคนที่ใช้งาน Online Shopping ตามแพลทฟอร์ม E-Commerce ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นอยู่เป็นประจำคุณน่าจะสงสัยเกี่ยวกับการทำงานของแพลทฟอร์ม E-Commerce เหล่านั้นว่าทำไมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นนั้นถึงรู้ได้ว่า “คุณกำลังมองหาสินค้าอะไรอยู่” เหมือนว่าคุณกำลังโดนสินค้าเหล่านั้นตามติดตัวอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่เรานึกถึง สินค้าก็มักจะโผล่มาให้เห็นเสมอ โดยกลยุทธ์ที่ว่านั้นก็คือ “Marketing Automation ” นั่นเอง Marketing Automation เป็นการตลาดยุคใหม่ที่ผสาน Technology และ Marketing ไว้ด้วยกัน มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ ช่วยให้คุณสามารถรักษาลูกค้าเป้าหมายด้วยเนื้อหาที่มีประโยชน์ และสร้างความเป็นส่วนตัว ด้วยการเก็บข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจลูกค้า แล้วสื่อสารส่งกลับไปให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามต้องการได้อย่างรวดเร็ว หากจะพูดถึงเทคโนโลยีทางการตลาดที่ก้าวหน้าที่สุดในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Marketing Automation” หรือ “ระบบทำการตลาดแบบอัตโนมัติ” ซึ่งเริ่มใช้กันมาระยะหนึ่งแล้วในต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น Amazon.com เว็บไซต์ E-Commerce ยักษ์ใหญ่ ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้อำนวยความส

เนื่องจากบทความที่แล้ว เราได้พูดถึงเรื่อง 'เพราะเหตุใด จึงไม่ควรมองเข้าม Direct-to-Consumer (DTC)' และได้อธิบายถึงความหมายของ DTC กันไปแล้วนะคะ วันนี้เราจะมาพูดถึง การตลาดแบบ Direct to Consumer (DTC) ว่าตอบโจทย์กับธุรกิจของคุณมากน้อยเพียงใดค่ะ ปัจจุบันนี้ประชาชนจำนวนมากต้องเก็บตัวอยู่กับบ้านในปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และยังมีบริษัทจำนวนมากที่ต้องประสบปัญหาอย่างมาก เพราะไม่สามารถขายสินค้าผ่านห้างร้านหรือร้านสาขาแบบเดิมๆ ได้ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนเชิงพฤติกรรม ทั้งในส่วนขององค์กรธุรกิจ ลูกค้า รวมถึงยอดขายผ่านช่องทาง DTC ในช่วงหลายปีนับจากนี้ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างรวดเร็วมากขึ้น แต่ปัจจัยหลักที่ผลักดันการปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจที่ว่านี้ก็คือ บทบาทที่โดดเด่นมากขึ้นของอีคอมเมิร์ซในตลาด ซึ่งเปิดโอกาสให้ธุรกิจ B2B สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังช่วยลดต้นทุน-ค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจอีกด้วย โอกาสที่ได้จาก DTC สำหรับธุรกิจ B2B ด้วยการสร้างโซลูชั่

การขายผ่านออนไลน์มีหลายช่องทาง ตั้งแต่ e-Marketplace, Social Commerce, Retailer’s Sites (แพลตฟอร์มของผู้ค้าปลีก) และช่องทางการขายของแบรนด์เอง โดยทุกวันนี้ช่องทางการซื้อขายออนไลน์ เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม e-Marketplace, Social Commerce และ Retailer’s Sites เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันจะพบว่าหลายแบรนด์ หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของตนเอง หรือที่เรียกว่า “Direct to Consumer” (DTC หรือ D2C) Direct-to-Consumer (DTC) ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงโดยไม่ผ่านตัวกลางอย่างผู้ค้าปลีก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เพราะช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจให้แก่บริษัทต่างๆ “Direct to Consumer” (DTC หรือ D2C) คือ แบรนด์สร้างช่องทางการขายออนไลน์ตรงถึงผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันของแบรนด์เอง โดยไม่ผ่านคนกลาง จึงเป็นโมเดลการขายที่ตัด “คนกลาง” ออก ซึ่งปัจจุบันมีหลายแบรนด์ ทั้งระดับโลก และในไทยสร้างช่องทางขายรูปแบบ DTC เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง การปรับใช้แนวทาง DTC ให้มีประสิทธิภาพถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก วันนี้เราจะมาเปิดเหตุผลที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม Direct-to-Cons

แรงจูงใจในการซื้อสินค้าออนไลน์ มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง นอกจากสินค้าต้องมีคุณภาพแล้ว การจัดส่งสินค้าต้องรวดเร็ว การบริการมีลักษณะ service mind และการตอบแชทลูกค้าออนไลน์ ก็มีความสำคัญไม่แพ้สิ่งใด การจะปิดการขาย แอดมินก็จะต้องมีแพทเทิร์นการตอบแชทที่น่าพึงพอใจ วิธีตอบแชทลูกค้าในแพจ ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการปิดการขายของแต่ละเพจ วันนี้ Wynnsoft Solution ขอนำเสนอการปิดการขายด้วย 7 เทคนิคการตอบลูกค้าออนไลน์ ดังนี้ 1. ตอบกลับเร็ว การตอบกลับเร็ว แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของร้านค้า แม้ไม่สามารถตอบกลับในทันทีทันใด แต่ก็ควรไม่ควรทิ้งระยะเวลาไว้นานจนเกินไป ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้าง first impression การขายสินค้าออนไลน์ ควรมีความพร้อมในการติดต่อพูดคุยกับลูกค้าเสมอ 2. ตอบตรงคำถาม แอดมินต้องมีความรู้เกี่ยวกับสินค้า สามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้องและครอบคลุม เช่น คุณภาพสินค้า, จำนวนสินค้า, วันหมดอายุ, ระยะเวลาในการจัดส่งสินค้า เป็นต้น 3. เป็นกันเองแต่สุภาพ อย่าลืมว่าการแชทไม่สามารถบ่งบอกน้ำเสียงของผู้แชทได้ แอดมินควรใช้ภาษาที่สุภาพ มีความเป็นกันเอง และไม่เป็นทางการมากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ควรให้ใช้ภาษาที่

Social Customer Service หรือ ฝ่ายบริการลูกค้าโซเชียลมีเดีย คอยให้การสนับสนุนลูกค้าทุกรูปแบบผ่านแอคเคาท์โซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของแบรนด์ จะทำให้ Social Customer Service มีประโยชน์กับแบรนด์ได้อย่างไร? - Reinforce trust ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Customer Service แบบเดิมกับ Social Customer Service คือแบรนด์สามารถเปิดเผยการให้บริการแบบสาธารณะ แสดงความจริงใจให้ลูกค้าคนอื่นๆ ได้เห็นด้วยได้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ต้องแอบให้บริการที่ดีเลิศแต่สาธารณะชนไม่ได้รับรู้ด้วยว่าแบรนด์เรามีความมืออาชีพในการให้บริการมากแค่ไหน ยิ่งถ้านักการตลาดสามารถมีทรัพยากรช่วยให้มีการการตอบสนองที่รวดเร็ว และตรงเป้ากับปัญหาของลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย ก็จะช่วยให้สามารถสร้างความไว้วางใจ และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีได้มากขึ้นค่ะ - Identify Customer Pain Points Customer Social Customer ช่วยให้แบรนด์สามารถถอดรหัส และเข้าถึง Pain Points สำคัญของกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งปัจจุบันหลายๆ แบรนด์อาจจะรอจากวิจัยในที่ประชุมอย่างเดียว นักการตลาดอาจจะลองให้ทีมบริการลูกค้าได้ใช้เครื่องมือ Social Listening Tools ร่วมกับทีมวิเคราะห์ เพื่อจะได้

หากคุณกำลังเป็นพ่อค้า/แม่ค้า ที่กำลังจะเปิดธุรกิจใหม่เร็วๆ นี้ หรือต้องการฐานลูกค้าใหม่เข้ามา แน่นอนว่าเรื่องที่กลุ่มคนเหล่านี้กังวลใจ ก็คือ ลูกค้าจะมาซื้อสินค้าเราได้อย่างไร จากทางไหนอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้มาเสนอไอเดียเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนที่กำลังจะเริ่มธุรกิจกันค่ะ ไปดูกันเลย 1. เริ่มต้นจากคนใกล้ตัวของเรา สินค้า หรือธุรกิจใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้จัก เราควรเริ่มจากคนใกล้ตัวของเราก่อน เช่น พี่ น้อง เพื่อน ญาติ หรือแม้กระทั่งคนที่เราเคยรู้จักมาก่อน ซึ่งยุคนี้คนสามารถติดต่อสื่อสารส่งข่าวสารหากันง่ายขึ้น ผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook , Line กันได้อยู่แล้ว เราอาจส่งข่าวสารไปยังคนรู้จัก ว่าเรากำลังเปิดธุรกิจ ทำธุรกิจ ขายสินค้าตัวหนึ่งอยู่ หากคนที่รู้จักเราทราบว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ วันหนึ่งหากเค้าต้องการสินค้า บริการ ในลักษณะนี้ เค้าเหล่านั้นย่อมจะนึกถึงเราเป็นคนแรกๆ อย่างแน่นอน 2. โปรโมทสินค้าใหม่ เมื่อเริ่มการวางแผน เราก็มาโพสต์โปรโมทสินค้ากัน ซึ่งเป็นเบสิคง่ายๆ ทั่วไป ของการใช้โซเชียลมีเดียในธุรกิจ เช่น การใส่รูป และแชร์ผ่าน Facebook, Instagram, Twitter และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจาก

Symbolic Marketing หรือก็คือการตลาดเชิงลัญลักษณ์นั่นเอง เป็นสัญญาณที่บอกความหมายเกี่ยวกับสังคม และวัฒนธรรม มันบอกถึงวิธีการตีความ ซึ่งการตีความที่ว่าเป็นการตีความที่มาจากอารมณ์มากกว่าข้อมูล ซึ่งในทางการตลาดต้องการสื่อสารด้วยข้อความที่ใช่ในเวลาที่ใช่อยู่แล้ว การเอาสัญลักษณ์มาใช้กับการตลาดก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ แพจเกจ โปสเตอร์ คลิปคอนเทนต์ต่างๆ ที่เราได้เห็นนั้น มันสะท้อนวัฒนธรรมของผู้บริโภคได้ ยกตัวอย่างเช่นแบรนด์ Apple ที่แน่นอนว่าจุดประสงค์ของผู้ซื้อไม่ได้อยากได้เพียงสมาร์ทโฟนของ Apple เท่านั้น แต่อยากซื้อความเชื่อ และไลฟ์สไตล์ที่เรียบง่ายแต่แตกต่างของตัวแบรน์ด้วยนั่นเอง วิเคราะห์การตลาดเชิงสัญลักษณ์ คือ การหาความหมายที่ซ่อนอยูในองค์ประกอบทุก ๆส่วนของคอนเทนต์ ทั้งสัญลักษณ์ รูปร่าง สี แน่นอนว่าเราต้องแยกองค์ประกอบก่อนแล้วค่อยหาความหมาย ซึ่งการหาความหมายเราต้องศึกษา ไม่ใช่แค่ค้นหาในอินเตอร์เน็ต แต่ให้ถามจากผู้บริโภคด้วย ยกตัวอย่างเช่นโปสเตอร์ Heinz Tomato Ketchup เราเห็นสีแดงเป็นพื้นหลัง ที่ช่วยกระตุ้นความหิว ขวดซอสที่ถูกทำให้เหมือนถูกหั่น ต้องการสื่อว่าเมื่อเราเทซอส

2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ภาคธุรกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า COVID-19 เป็นปัจจัยที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในแทบทุกมิติ แต่.. ตลาด E-Commerce ไทยในปี 2020 ได้เติบโต 81% มูลค่า 294,000 ล้านบาทสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 220,000 ล้านบาท และได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ผู้คนหันมาช้อปออนไลน์กันมากขึ้น ทำให้แบรนด์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจ Retail หันมาพัฒนาช่องทางออนไลน์ของตัวเองเพิ่มขึ้นกว่าที่ผ่านมา วันนี้ทางเรา Wynnsoft Solution ได้นำ E-Commerce Trends ที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ เพื่อทุกคนจะได้เตรียมพร้อมเข้าสู่ปี 2022 ที่ใกล้จะมาถึงนี่ค่ะ 1. M-commerce Trends เพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน เราได้นำข้อมูลจาก grazitti พบว่าคนส่วนมากที่หันมาช้อปปิ้งออนไลน์ผ่าน E-Commerce มักจะช้อปผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก โดยจากการคาดคะเนพบว่า ภายในสิ้นปี 2021 นี้จะมี Transactions เกิดขึ้นบน E-Commerce ที่เป็นการช้อปผ่านมือถือทั้งหมด 73% และเปอร์เซนที่เหลือคือจาก Devices อื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนค่ะ 2. ค้าขายออนไลน์บน Social Media เทรนด์ต่อมาก็ยังคงร้อนแรงต่อเนื่องกับการซื้อ-ขายผ่าน Soci

COVID-19 ระลอกที่ 4 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย ทั้งในเชิงธุรกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย เนื่องจากทุกๆ อย่างได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แล้วคุณสงสัยหรือไม่ ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภค และความคิดเห็นต่างๆ ของคนในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง วันนี้เรามาหาคำตอบกันค่ะ จากข้อมูลล่าสุด โดยบริษัทวิจัยการตลาด อิปซอสส์ ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคเมื่อเดือน มิ.ย. จาก 6 ประเทศในภูมิภาค SEA ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจในประเด็น “วิกฤตการณ์ COVID 4 ระลอก กับ การเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และทัศนคติที่ส่งผลกระทบต่อตลาด เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมปัจจัยเพื่อการปรับตัวและวางแนวทางให้กับภาคธุรกิจและภาครัฐ” โดยข้อมูลที่เปิดเผยนั้น มีดังนี้ค่ะ ท่ามกลางการระบาดระลอก 4 มีคนไทยที่ตอบแบบสำรวจเพียง 20% ที่รู้สึกว่าสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น (จากตัวเลขเดิม 11% ในระลอก 3) แต่ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าสถานการณ์อาจดีขึ้นภายใน 6 เดือนข้างหน้า– คนไทย มีความกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของตนเอง สูงกว่าในระดับภูมิภาค โดยมีเพียง 64% ท

แพลตฟอร์มสำหรับ Video Content ที่สร้างรายได้ให้เหล่า Creators แห่งยุคนี้อย่าง YouTube หลายคนอาจจะคุ้นชินและทราบกันดีอยู่แล้วว่านอกเหนือจากการเป็นสปอนเซอร์ ก็ยังมีวิธีสร้างรายได้จากยอดวิว หรือโฆษณาระหว่างคลิป ไม่นานมานี้ YouTube บอกว่าจะจ่ายพิเศษให้กับ Creators ที่สร้างสรรค์วิดีโอ Shorts สู้คู่แข่งสุดฮอตในตลาดเดียวกันอย่างเช่น TikTok สูงถึง $10,000 หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 330,000 บาท! โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมคือ วิดีโอจะต้องเป็นคลิปถูกอัปโหลดในรูปแบบ Original YouTube Shorts ไม่ใช่วิดีโอที่ดูดมาจากแพลตฟอร์มอื่น อย่างเช่น TikTok Reel และ Snapchat และคลิปวิดีโอต้องได้รับความนิยม หรือมีกระแส Popular ขึ้นมา Shorts เป็นที่ฮือฮากันว่า YouTube ปั้นมาสู้กับ TikTok โดยเฉพาะ ลักษณะของการใช้งานจริง ๆ คล้ายคลึงกับ TikTok วิดีโอที่แสดงบน Feed มีความยาวไม่เกิน 60 วินาที ไถเลื่อนไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องกดเสิร์ช และจะแยกจากวิดีโอปกติของ YouTube ค่ะ วิธีการใช้งาน สำหรับไทยยังมีแค่ตัว Beta ให้ทดลองเล่น กดที่ + ตรงกลางล่างหน้าจอ YouTube ได้เลยค่ะ ทุกคนจะเห็นฟีเจอร์ของ Shorts ที่มีให้เล่นค่อนข้างเยอะเลย หลายอย่าง

การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketing) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียดของการทำการตลาด E-Marketing จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ เป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Niche Market) เป็นลักษณะเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 Way Communication) เป็นรูปแบบการตลาดแบบตัวต่อตัว (One to One Marketing หรือ Personalize Marketing) ที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถกำหนดรูปแบบสินค้าและบริการได้ตามความต้อง การของตนเอง มีการกระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภค (Dispersion of Consumer) เป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถสื่อสารไปยังทั่วทุกมุมโลก ตลอด 24 ชั่วโมง (24 Business Hours) สามารถติดต่อสื่อสาร โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response) มีต้นทุนต่ำแต่ได้ประสิทธิผล สามารถวัดผลได้ทันที (Low Cost and Efficiency) มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมการตลาดแบบดั้งเดิม (Relate to Traditional Marketing) มีการตัดสินใจ

ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์มากมายที่เข้ามาเลือกซื้อหาสินค้าและบริการของเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ของเรา ประเด็นอยู่ที่เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าพึงพอใจในเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ของเรามากที่สุด เรามาเรียนรู้จากคำแนะนำดีๆกันเลย หากว่าท่านกำลังมองหาวิธีการต่างๆที่จะดึงดูดใจลูกค้าทั้งรายเก่า รายใหม่ ผู้สนใจในสินค้าและบริการของเรา ท่านต้องหา Main Character ของตัวเองให้เจอก่อนเป็นอันดับแรก การที่ท่านจะโดดเด่น สร้างสรรค์ และแปลกใหม่ไม่เหมือนใครนั้น ถือเป็นการดึงดูดส่วนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเว็บไซต์ หรือร้านค้าออนไลน์อื่นใดก็ตามต้องการด้วยกันทั้งสิ้น ท่านต้องหาให้เจอว่าจุดเด่นของร้านเรา หรือของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ที่ใด 1.โลโก้ ส่วนสำคัญที่ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ไม่ควรขาดไป หากจะตั้งชื่อร้านอย่างเดียว คงจะดูไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร เราควรจะคิดทำโลโก้ร้านเราสวยๆ มีเอกลักษณ์ประจำตัว ดูดี และสวยงาม ที่สำคัญจะเป็นการอัพเกรดให้ร้านค้าของเราเป็นที่จดจำ และเป็นประโยชน์ต่อการกระจายสินค้าต่อแหล่งต่างๆตามความนิยมของลูกค้าที่บอกต่อๆกัน 2.โปรโมชัน แน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดใจลูกค้าผู้ใช้บริการจากเว็บไซต์ร้านค้าออนไ

การขายเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ และศิลปะขั้นสุดยอดของงานขายอยู่ที่ “การปิดการขาย” ให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายสินค้าออนไลน์ที่มีร้านค้าให้เลือกมากมายให้ลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้าชนิดเดียวกัน ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจยกเลิกการซื้อขายชั่วข้ามคืนได้หากไปเจอสินค้าแบบเดียวกันในร้านอื่น เทคนิคในการปิดการขายนั้น มีหลายวิธี แต่จะทำแล้วสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับศิลปะในการจัดการเฉพาะบุคคล เทคนิคที่ดีของคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ก็เป็นได้ การปิดการขายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และปรับวิธีการอยู่เสมอ หลักการสำคัญในการปิดการขายให้ได้ดีนั้น ผู้ขายจะต้องเข้าใจธรรมชาติของผู้ซื้อก่อนว่าต้องการอะไรในการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ 1. ลูกค้าออนไลน์ต้องการความมั่นใจว่าเมื่อตัดสินใจซื้อและชำระค่าสินค้าแล้ว จะได้สินค้าแน่นอน เพราะการซื้อของออนไลน์มีความเสี่ยง หากไม่ใช่ร้านค้าที่จดทะเบียนพาณิชย์ ดังนั้น หากแม่ค้าต้องการปิดการขายได้เร็วสำหรับลูกค้าใหม่ แม่ค้าควรให้คำรับรองในการส่งสินค้าภายหลังจากได้รับการชำระเงิน ในทันทีหรือวันรุ่งขึ้นเพื่อตัดความกังวลของลูกค้า 2. ลูกค้าไม่อยากพลาดหากพบของที่ต้องการ การป

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เราจะสังเกตดูจะเห็นได้ว่า E-commerce นั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ทำให้เราต้องอยู่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ยอดการซื้อของออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ผู้ประกอบการมีการใช้งานแพลตฟอร์ม e-commerce ที่หลากหลาย โดยสำรวจจากผู้ค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Shopee ราวๆ 42,000 ราย จากทั้งหมด 6 ประเทศ ประกอบไปด้วย.. - ประเทศไทย - สิงคโปร์ - เวียดนาม - ฟิลิปปินส์ - มาเลเซีย - อินโดนีเซีย ซึ่งผลสำรวจที่ได้พบว่ารุปแบบการรับ E-commerce แพลตฟอร์มมาใช้งานมีความหลากหลายโดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ The Homemaker, The Student, The Never-too-late, The Moonlighter และ The Highly-digital ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีการใช้งานอีคอมเมิร์ซเพื่อตอบโจทย์ความจำเป็นที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการเสริมศักยภาพธุรกิจ วันนั้นเราจะพาคุณมาดูกันทีละกลุ่มเลยค่ะว่า คนแต่ละกลุ่มนั้นมี Insight อย่างไรบ้าง 1. The Homemaker Entrepreneurs (กลุ่มแม่บ้าน-พ่อบ้าน) กลุ่มแรกเป็นกลุ่มพ่อบ้าน-แม่บ้านค่ะ ซึ่งบนแพลตฟอร์ม Shopee เนี่